น้ำมันมะพร้าว



บำรุงเส้นผม
น้ำมัีนมะพร้าวเป็นหนึ่งในสารอาหารธรรมชาติที่ดีที่สุดสำหรับเส้นผม ช่วยให้ผมมีสุขภาพดีและเป็นเงางาม ใช้น้ำมัีนมะพร้าวนวดหนังศรีษะเป็นประจำ จะช่วยขจัดรังแค, เหาและไข่เหา ใช้ได้แม้กับผู้ทีมีหนังศรีษะแห้ง
มีการใช้น้ำมันมะพร้าวบำรุงผมอย่างกว้างขวางในทวีปอินเดีย เป็นน้ำมันบำรุงผมชั้นเยี่ยม และช่วยฟื้นฟูผมเสีย เพราะมีโปรตีนที่จำเป็นสำหรับผมเสีย นอกจากนี้ยังใช้ในอุตสาหกรรมครีมบำรุงต่างๆ รวมถึงครีมที่ช่วยขจัดรังแค สำหรับผลิตภัณฑ์ดูแลผมมักมีการใช้น้ำมันมะพร้าวเป็นส่วนประกอบหลัก

บรรเทาความเครียด
ใช้น้ำมันมะพร้าวนวด ช่วยในการขจัดความตึงเครียดและความเหนื่อยล้าของจิตใจ

บำรุงผิว
น้ำมันมะพร้าวเป็นเลิศในการให้ความชุ่มชื้นและความอ่อนนุ่มแก่ผิวพรรณ มีวิตามินอีมาก เหมาะสำหรับทุกสภาพผิวแม้แต่ผิวแห้ง คุณค่าของน้ำมันมะพร้าวเทียบเท่ากัน mineral oil แต่ไม่เหมือนตรงทีน้ำมันมะพร้าวไม่มีผลข้างเคียงกับผิว น้ำมันมะพร้าวมีความปลอดภัยสูงในการป้องกันผิวแห้งและผิวหนังที่เป็นสะเก็ด ช่วยชลอการเกิดริ้วรอย ผิวหนังเหี่ยวย่น ช่วยรักษาโรคผิวหนังต่างๆ รวมถึงโรคสะเก็ดเงิน, แผลเปื่อย และผิวติดเชื้ออื่นๆ นอกจากนี้ยังใช้เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอีกด้วย

น้ำมันมะพร้าวใช้เป็นน้ำมันพื้นฐานในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เช่น สบู่, โลชั่น และครีมต่างๆ

โรคหัวใจ
มีความเข้าใจผิดกันมากว่า น้ำมันมะพร้าวไม่ดีสำหรับหัวใจ เนื่องจากมีประมาณไขมันอิ่มตัวมาก แต่ในน้ำมันมะพร้าวมีประโยชน์ต่อหัวใจ เพราะมีกรดลอริก 50% ซึ่งช่วยป้องกันปัญหาหัวใจรวมถึงคลอเรสเตอรอลสูง และ ความดันในเลือดสูง ไขมันอิ่มตัวในน้ำมันมะพร้าวไม่เป็นอันตรายเหมือนกับน้ำมันพืชชนิดอื่น ไม่เป็นตัวเพิ่ม LDL (ไขมันไม่ดี) ช่วยลดภาวะหลอดเลือดตีบตัน

การลดน้ำหนัก
น้ำมันมะพร้าวมีประโยชน์มากในการลดน้ำหนัก เพราะมีกรดไขมันห่วงโซ่สั้นๆที่ช่วยในการลดน้ำหนัก ย่อยง่ายและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของต่อมไทรอยด์และระบบเอ็มไซม์ นอกจากนี้ยังเพิ่มระบบการเผาผลาญอาหารของร่างกาย ช่วยให้มีการเผาผลาญพลังงานมากขึ้น ดังนั้นคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลเขตร้อนซึ่งใช้น้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันปรุงอาหารหลัก โดยปกติจะไม่อ้วน หรือมีน้ำหนักตัวมากเกิน

ตับอ่อน
น้ำมันมะพร้าวยังเชื่อว่าเป็นประโยชน์ในการรักษาตับอ่อนอักเสบ

การลดน้ำหนักด้วยน้ำมันมะพร้าว
การกินไขมันเพื่อลดน้ำหนักดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ผลการวิจัยโดย ดร. J. Kabara , Michigan State University แสดงให้เห็นว่าน้ำมันมะพร้าวแบบสกัดเย็น (Extra virgin coconut oil) ช่วยในกระบวนการเผาผลาญอาหารในบางคนและทำให้น้ำหนักลดลงโดยไม่อ่อนเพลีย การบริโภคน้ำมันมะพร้าว 4-6 ช้อนโต๊ะให้ประโยชน์แก่ร่างกายและเหมาะสำหรับผู้ที่อยุ่ในโปรแกรมลดน้ำหนัก

ควรใช้น้ำมันมะพร้าวแบบสกัดเย็นในการบริโภคเพื่อลดน้ำหนักและควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อคำนวนปริมาณที่เหมาะสมในการบริโภคของแต่ละบุคคล

การใช้น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นเพื่อบริโภค

1. กินน้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะก่อนมื้ออาหาร 4ครั้งต่อวัน จะช่วยให้อยากอาหารน้อยลง เพราะน้ำมันมะพร้าวทำงานคล้ายคาร์โบไฮเดรตในร่างกาย ให้พลังงานและร่างกายสามารถนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว

2. เติมน้ำมันมะพร้าวลงไปในเครื่องดื่มโปรตีนประเภทให้พลังงาน ดื่มแทนมื้ออาหาร หรือ ก่อน/หลังทำงาน

3. ปรุงเนื้อไก่สด ด้วยน้ำมันมะพร้าวแทนที่น้ำมันพืชอื่น โดยการทอดหรืออบ น้ำมันมะพร้าวช่วยเพิ่มกรดที่จำเป็นต่อสุขภาพ และเพิ่มกระบวนการเผาผลาญอาหาร

น้ำมันงา





งา (Sesame) มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Sesamum indicum L. วงศ์ Pedaliaceae งาเป็นไม้ล้มลุกและเป็นไม้
พื้นเมืองของประเทศแถบเส้นศูนย์สูตร มีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า Sesamum indicum L. แสดงถึงการพบต้นไม้ชนิดว่าอยู่ในแถบดินแดนโอเรียนเต็ลนี้เอง ซึ่งก็หมายถึงประเทศไทยด้วย มีการปลูกงามากที่ประเทศจีน อินเดียไปจนถึงเม็กซิโก และสหรัฐอเมริกา งาเป็นต้นไม้ขนาดเล็กสูง 1-2 เมตร มีใบบอบบาง ดอกสีขาวหรือชมพู เมื่อผลแก่จัด จะได้เมล็ดงาจำนวนมากในฝักนั้น

เมล็ดงามีประโยชน์ ประกอบด้วยน้ำมันระหว่าง 46.4 – 52.0% มีโปรตีน 19.8 – 24.2% ซึ่งมีสัดส่วนดี จึงเป็นอาหารที่ดี มีสารมีไธโอนีนและทริพโทแฟ็นสูง มีแคลเซี่ยม โปรแตสเซี่ยมฟอสฟอรัส วิตามินบี และเหล็ก น้ำมันงาที่ดีได้มาจากการหีบโดยไม่ใช้ความร้อน (cold pressed) น้ำมันงาชนิดนี้ได้รับความนิยมอย่างสูง เพราะไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างของโมเลกุลน้ำมัน และไม่มีสารเคมีตกค้าง

น้ำมันงามีกรดไขมันอิ่มตัวชนิดหลายตำแหน่ง (Polyunsaturated fatty acids) ระหว่าง 40.9 – 42.0% ชนิดไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว (Monounsaturated fatty acids) ระหว่าง 42.5 – 43.3% ซึ่งชนิดหลังนี้ เชื่อว่าช่วยป้องกันหลอดเลือดแดงแข็งและโรคหัวใจ

สรรพคุณ
คนโบราณนิยมใช้น้ำมันงาในการรักษาตัวเองมานานหลายพันปีมาแล้ว ทั้งในประเทศอินเดียและจีน สรรพคุณต่างๆที่รวบรวมได้มีดังนี้

 1. มีสรรพคุณต้านแบคทีเรีย รา และไวรัส
 2. สามารถลดการอักเสบ
 3. มีรายงานการทดลองว่าสามารถทำให้หลอดเลือดแดงดีขึ้น ลดการเกิดการอุดตันของหลอดเลือด   (Atherosclerosis)
 4. ใช้กับโรคเรื้อรัง เช่น ตับอักเสบ เบาหวาน และปวดศีรษะเรื้อรัง
 5. ในการศึกษาทดสอบในห้องปฏิบัติการ น้ำมันงาสามารถสกัดการเติบโตของเซลล์มะเร็งผิวหนัง (malignant melanoma) และเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ อาจเป็นเพราะมีกรด linoleic ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็น (EFA)
 6. มีสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งเมื่อซึมซับลงไปใต้ผิวหนังแล้วจะทำลายอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น จึงมีสรรพคุณต้านการเกิดมะเร็งด้วย
 7. เมื่อเข้าสู่หลอดเลือดจะช่วยลดจำนวนไลโปโปรตีนชนิดเบา (LDL) ในหลอดเลือดซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
 8. น้ำมันงาช่วยควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ให้เป็นปกติ
 9. ภายในลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่เซลล์บางชนิดใช้ไขมันแทนน้ำตาล น้ำมันงาจะเป็นอาหารที่จำเป็นสำ หรับเซลล์เหล่านี้
10. เมื่อใช้กลั้วคอและบ้วนปากจะลดเชื้อที่ทำให้เกิดเหงือกอักเสบ เชื้อก่อโรคเจ็บคอ และเชื้อหวัด
11. ใช้หยอดจมูก (1-2 หยด) เมื่อเป็นไซนัสพบว่าได้ผลดี
12. ใช้ทาผิวผู้เป็นโรคสะเก็ดเงินหรือเรื้อนกวาง (Psoriasis) และผู้มีผิวแห้ง
13. ใช้ทาผิวและเคลือบเส้นผมเพื่อป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดดและลม
14. เมื่อทาผิวหนังจะช่วยจับสารพิษชนิดละลายน้ำได้ และเมื่อล้างหรืออาบน้ำ สารพิษที่จับไว้ก็จะหลุดไป น้ำมันงาจะช่วยจับสารพิษในกระแสเลือดเช่นเดียวกัน และนำไปสู่การขจัดออกจากร่างกายต่อไป
15. เมื่อใช้ทาผมและนวดศีรษะจะช่วยให้หนังศีรษะไม่แห้ง และช่วยรักษาเหาในกรณีที่เด็กติดเหา
16. การทาน้ำมันงานอกจากจะทำให้ผิวนุ่มแล้วจะช่วยรักษาแผลเล็กน้อยได้ เมื่อใช้เป็นน้ำมันนวดให้ใช้ทาแขนขาในลักษณะขึ้นลงและใช้วิธีคลึงเป็นวงกลมรอบๆ ข้อต่อ เพื่อกระตุ้นพลังธรรมชาติของข้อ ช่วยลดอาการปวดตามข้อได้ ชาวธิเบตใช้หยดจมูกข้างละ 1 หยดเพื่อช่วยให้นอนหลับ และลดความกระวนกระวาย
17. ใช้ทาผิวหน้าจะทำให้ผิวตึงขึ้น เมื่อทาบริเวณจมูกจะทำให้รูขุมขนไม่ให้เปิดมากไป ป้องกันการแก่ตัวของผิวหน้า ใช้ได้ดีแม้กับวัยรุ่นซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องสำอางอื่นๆ เลย
18. ใช้ทาให้ทั่วตัวก่อนว่ายน้ำเพื่อป้องกันการเกิดระคายเคือง จากสารคลอรีนที่ผสมไว้ในสระว่ายน้ำ น้ำมันงาดูดซึมเร็วไม่ติดค้างอยู่บนผิว
19. สำหรับผู้ต้องรับการรักษาด้วยการฉายรังสี น้ำมันงาจะช่วยบรรเทาอันตรายจากออกซิเจนอิสระที่เกิดจากการรักษาชนิดนี้
20. ผสมน้ำชำระส่วนปกปิดจะช่วยป้องกันโรคติดเชื้อที่ทำให้เกิดอาการคัน (Vaginal yeast infections) และเนื่องจากน้ำมันงามีสารที่มีผลคล้ายฮอร์โมนเพศหญิง จึงมีผู้ใช้ทาเฉพาะที่เพื่อช่วยลดการเปลี่ยนแปลง เช่นการเกิดการบางตัวของผิวที่อาจทำให้มีอาการระคายเคืองเมื่อฮอร์โมนหญิงลดลง ชาวอินเดียใช้ทาหน้าท้องเมื่อปวดประจำเดือน
21. สำหรับทารกน้ำมันงาจะช่วยป้องกันการเกิดการระคาย เกิดผื่นแดงที่ผิวจากปัสสาวะและความอับชื้น (rash) เมื่อใช้ทาผิวบริเวณจมูกและหูจะช่วยป้องกันโรคผิวหนังที่อาจเกิดบริเวณเหล่านี้ สำหรับเด็กที่เป็นหวัดและติดหวัดบ่อย ใช้น้ำมันงาเช็ดภายในผนังจมูกเล็กน้อยจะช่วยลดการติดเชื้อที่มาเข้าสู่ร่างกายได้
22. มีผลในการระบายท้อง (Laxative) โดยจิบเพียง 1 ช้อนชาก่อนนอน อาจช่วยบรรเทาอาการท้องผูก แต่อย่าใช้ขณะท้องร่วง

หมายเหตุ
น้ำมันงาที่หีบโดยวิธีไม่ใช้ความร้อนจะมีสีเหลืองใสออกเขียวเล็กน้อย และมีกลิ่นอ่อน ไม่ควรใช้กินมากกว่า 10% ของจำนวนแคลอรี่ต่อวันหนึ่งๆ หากมีอาการแพ้ควรงดใช้ เช่นเดียวกับอาหารและน้ำมันอื่นๆ


ข้อมูลโดย รศ. ดร.วีณา เชิดบุญชาติ สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537

น้ำมันรำข้าว



น้ำมันรำข้าว คือ น้ำมันพืชที่ผลิตจากน้ำมันรำข้าวดิบ ซึ่งสกัดจากรำข้าว มีสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งสามารถต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าวิตามินอีถึง 6 เท่า  มีกรดไขมันอิ่มต้ว 18% กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว 45% กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน 37% น้ำมันรำข้าวเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดคลอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL-C)

น้ำมันรำข้าวได้จากการสกัดเอาสารสำคัญที่มีประโยชน์นานาชนิด ซึ่งมีอยู่ในเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว และจมูกข้าว เช่น

กลุ่มสารฟอสโฟไลฟิด (Phospholipids) ซึ่งมีความสำคัญในการนำไปสร้างและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของเซลล์ประสาทสมอง และช่วยป้องกันเซลล์ประสาทจากสารที่เป็นพิษ และ อนุมุูลอิสระต่างๆ ช่วยลดเครียด และช่วนเสริมสร้างในด้านความจำ

กลุ่มเซราไมด์ (Ceramide) ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของชั้นใต้ผิวหนัง ช่วยทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น การเสริมสร้างเซราไมด์ให้เพียงพอ ทั้งโดยการรับประทานหรือการให้ทางผิวหนังในรูปการทาครีม หรือโลชั่น จะช่วยรักษาผิวพรรณให้สดใสเปล่งปลั่ง ปราศจากริ้วรอยย่นก่อนเวลาอันควร นอกจากนี้เซราไมด์ ยังมีคุณสมบัติเป็นไวท์เทนเนอร์ (Whitener) ซึ่งสามารถยับยั้งการสังเคราะห์เมลานิน อันเป็นสาเหตุให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำบนผิวพรรณได้ีดี และยังเป็นมอยเจอไรเซอร์ (Moisturizer) ให้ความชุ่ม
ชื้นแก่ผิวอีกด้วย  ดูสบู่รำข้าว

กลุ่มกรดไขมันไลโนเลอิค (Linoleic Acid) หรือโอเมก้า 6 และ กรดไลโนเลอิค หรือ โอเมก้า3 ที่เป็นกรดไขมันจำเป็น โดยมีอยู่ประมาณ 33%

กลุ่มวิตามิน B -Complex ซึ่งช่วยในการทำงานของระบบประสาทดีขึ้น

กลุ่มแกมมา - ออไรซานอล มีฤทธิ์ในการลดระดับคลอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ ทำให้ลดการตีบตันของหลอดเลือด เพิ่มการไหลเวียนของเลือด และยังมีฤทธิ์ในการลดความเครียด และรักษาอาการผิดปกติของสตรีวัยทอง นอกจากนี้ยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และยังป้องกันแสงยูวีได้ เมื่อใช้กินหรือใช้ทา ทำให้ผิวหนังชุ่มชื้นและต้านการอักเสบ สารชนิดนี้มีความปลอดภัยสูงมาก

น้ำผึ้ง

      



น้ำผึ้งมีคุณสมบัติทางยา คือ สามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ ได้ เพราะน้ำผึ้งมีความเข้มข้นของน้ำตาลสูง ซึ่งความเข้มข้นนี้เองจะช่วยกำจัดปริมาณน้ำที่แบคทีเรียใช้ในการเจริญเติบโต รวมถึงน้ำผึ้งมีความเป็นกรดสูง และมีปริมาณโปรตีนต่ำ ซึ่งทำให้แบคทีเรียไม่ได้รับไนโตรเจนที่จำเป็น นอกจากนี้น้ำผึ้งยังมีสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และสารแอนตี้ออกซิแดนด์ซึ่งจะมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียด้วย ดังนั้นเมื่อเราใช้น้ำผึ้งทาบาดแผลจึงสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้และทำให้แผลไม่เกิดการอักเสบ

เอนไซม์ในน้ำผึ้งมีหลายชนิด มีหน้าที่ช่วยย่อยคาร์โบโฮเดรตได้ น้ำผึ้งจึงมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ และแก้อาการท้องผูกในเด็กและคนชราได้เป็นอย่างดี

น้ำผึ้งที่มีสีเข้ม จะมีปริมาณแร่ธาตุสูงกว่าน้ำผึ้งที่มีสีอ่อน

การใช้น้ำผึ้งเป็นอาหารและยา
  • ลดการอักเสบ หากมีบาดแผลหรือแผลถลอกให้ล้างด้วยน้ำเบกกิ้งโซดา หรือ อบเชย ชาใบผักชี (ที่เย็นแล้ว) ซึ่งมีสรรพคุณฆ่าเชื้อทั้งสิ้น อาจใช้ชาดำธรรมดา น้ำมันหอม และน้ำมันกระเทียมช่วยล้างด้วยเพื่อห้ามเลือด จากนั้นทาน้ำผึ้งสะอาดบนแผล น้ำผึ้งจะช่วยป้องกันการติดเชื้อและทำให้แผลหายเร็ว
  • รักษาโรคผิวหนังจากเชื้อรา ใช้ผงขมิ้นผสมน้ำผึ้งทาบริเวณกลากเกลื้อน วันละ 2 ครั้ง
  • ต้านข้ออักเสบ ผสมน้ำส้มแอ๊ปเปิ้ลไซเดอร์ 2 ช้อนชาลงในน้ำร้อน เติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ชงดื่มวันละ 2 ครั้ง
  • แก้อาการท้องผูก กินกล้วยน้ำว้าสุกจิ้มน้ำผึ้งหรือมันต้มสุกจิ้มน้ำผึ้ง ช่วยลดอาการท้องผูกได้เช่นกัน
  • แก้นอนไม่หลับ น้ำผึ้งเป็นยาระงับประสาทอ่อนๆ ชงน้ำผึ้งผสมน้ำอุ่นหรือชาดอกไม้ เช่น ชาดอกคาโมมายล์ ดื่มก่อนนอนจะช่วยให้หลับสบายขึ้น
  • บำรุงเลือด เทน้ำผึ้งครึ่งช้อนโต๊ะใส่แก้ว บีบน้ำมะนาว 1 ซึก ใส่เกลือนิดหน่อยเติมน้ำร้อน ดื่มเป็นยาบำรุงเลือด
  • บรรเทาอาการไอ บีบมะนาวฝานสดๆหนึ่งเสี้ยวเข้าปากให้ลงลำคอ และจิบน้ำผึ้งแท้ หนึ่งช้อนโต๊ะ อมไว้ หายไอดีมาก หรือ
    • ส่วนผสม: น้ำผึ้ง 500 กรัม ขิงสด1.2 กิโลกรัม (1 ชั่ง)
    • วิธีทำ: คั้นขิงสดเอาแต่น้ำ แล้วนำมาผสมกับน้ำผึ้งต้มจนแห้ง
    • วิธีกิน: กินครั้งละขนาดเท่าลูกอมจะช่วยบรรเทาอาการไอเรื้อรัง
  • บำบัดเบาหวาน
    • ส่วนผสม: สาลี่หอมหรือสาลี่หิมะจำนวน 5 ลูก น้ำผึ้ง 250 กรัม
    • วิธีทำ: ปอกเปลือกสาลี่แล้วตำให้ละเอียด นำไปคลุกกับน้ำผึ้งแล้วต้มจนเหนียว บรรจุใส่ขวด
    • วิธีกิน: ผสมน้ำกิน ช่วยแก้อาการไอและบำบัดโรคเบาหวานได้
  • ลดความดันโลหิตสูง
    • ส่วนผสม: น้ำผึ้งและงาดำ อย่างละ 50 กรัม
    • วิธีทำ: ตำงาดำให้ละเอียดแล้วคลุกกับน้ำผึ้ง
    • วิธีกิน: ชงกับน้ำร้อนดื่มรักษาโรคความดันโลหิตสูงและบรรเทาอาการท้องผูกเรื้อรัง
  • ช่วยปรับสมดุลร่างกายและควบคุมน้ำหนัก ผู้ที่รักสุขภาพและผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคปวดข้อ เป็นตะคริวอยู่บ่อย ๆ หรือโรคอ้วน สามารถนำวิธีนี้ไปใช้ดื่มเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดี และช่วยบรรเทาโรคต่าง ๆ ได้ ซึ่งได้มีการพิสูจน์และใช้กันมานานในอเมริกาและยุโรป โดยนำน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน (Raw Organic Honey) 3 ช้อนชา และน้ำส้มสายชูหมักแอปเปิ้ลไม่ผ่านความร้อน (Raw Organic Apple Cider Vinegar) 3 ช้อนชา ผสมน้ำเปล่า 1 แก้ว ดื่มทุกเช้าหลังตื่นนอน และระหว่างมื้อเป็นประจำทุกวัน จะทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงและสดชื่น
  • สำหรับผิวหน้าสดใส ผู้ที่มีปัญหาสิวเสี้ยนหรือต้องการบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ มีวิธีง่าย ๆ ดังนี้ หลังจากล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นและเช็ดให้แห้งแล้ว นำกล้วยหอม 1/2 ลูก นำมาบดผสมกับน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน แล้วนำมาทาบนหน้า ทิ้งไว้ซัก 10-15 นาที แล้วล้างออก น้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อนจะมีเอ็นไซน์ ซึ่งทำให้หน้าคุณชุ่มชื่นและนุ่มนวลขึ้น
  • เพื่อผมเงางาม หลังสระผมเสร็จนำน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อนผสมกับน้ำมะกอกอย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ นำมาชโลมผมแล้วทิ้งไว้ซัก 3-5 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผมคุณจะนิ่มและเงางามตามธรรมชาติปราศจากสารเคมีใด ๆ

น้ำผึ้งแท้??

ปัจจุบันผู้ผลิตบางรายมักใส่สารแปลกปลอมลงในน้ำผึ้ง การตรวจจับด้วยเทคนิคด่างๆ จึงเป็นเรื่องยาก นอกจากตรวจสอบในห้องปฏิบัติการเท่านั้นซึ่งมีราคาแพงและค่อนข้างยุ่งยาก วิธีที่ดีที่สุดคือควรซื้อน้ำผึ้งจากผู้ขายที่เชื่อใจได้ หรือมิฉะนั้นต้องใช้สายตาประเมินคุณภาพดังต่อไปนี้
  1. มีความข้นและหนืดพอสมควรซึ่งแสดงว่าน้ำผึ้งมีน้ำน้อย มีคุณภาพสูง
  2. มีสีตามธรรมชาติ ตั้งแต่สีเหลืองอ่อนถึงน้ำตาล ใส ไม่ขุ่นทึบ
  3. มีกลิ่นหอมของน้ำผึ้งตามชนิดของดอกไม้นั้นๆ เช่น น้ำผึ้งจากดอกลำไย น้ำผึ้งจากดอกลิ้นจี่
  4. ปราศจากกาก ไขผึ้ง หรือเศษตัวผึ้งปะปน รวมทั้งวัสดุแขวนลอยต่างๆ
  5. ไม่มีกลิ่นบูดเปรี้ยว ไม่มีฟอง
  6. ไม่มีการใส่สารปรุงแต่งสี กลิ่น รสใดๆ ลงในน้ำผึ้ง
  7. การหยดน้ำผึ้งใส่กระดาษไข ถ้าเป็นของแท้จะไม่ซึมแน่นอน
  8. ทดสอบโดยหยดน้ำผึ้งลงในแก้วน้ำชา สังเกตการละลายถ้าเป็นนํ้าผึ้งแท้เมื่อคนให้เข้ากันจะไม่ละลายในทันที
 รักษาสิวด้วยน้ำ้ผึ้ง ต้องลอง!!
          น้ำผึ้งมีประโยชน์อย่างมากในการรักษสิวเนื่องจากมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และป้องกันการติดเชื้อ ต่างจากยารักษาสิวส่วนใหญ่ที่ทำให้ผิวแห้งและบางชนิดก่อให้เกิดการระคายเคืองกับผิว ลองมารักษาสิวกันด้วยน้ำผึ้งกันเถอะคุ่ะ

           1. ผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะกับน้ำมันอัลมอนด์ 1 ช้อนโต๊ะ ทาบางๆให้ทั่วผิวหน้าบริเวณที่มีปัญหาเรื่องสิว นวดเป็นวงกลมเบาๆ ปล่อยทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น เช็ดด้วยผ้าขนหนูสะอาด
           2. สำหรับผิวมัน ให้เติมน้ำมะนาวลงไปในส่วนผสม ประมาณ 2-3 หยด เิริ่มจากน้อยก่อนนะคะ แล้วค่อยเพิ่มจำนวนหยดตามความมันของผิวหน้า
           3. สามารถใช้ส่วนผสมนี้ทำความสะอาดหน้าได้เป็นประจำ เพื่อป้องกันการเกิดสิวและช่วยให้ผิวหน้าดูมีสุขภาพดีขึ้น
           4. หากส่วนผสมเหลือเก็บไว้ในตู้เย็นเพื่อใช้ในครั้งต่อไปได้ค่ะ


ดูสบู่น้ำผึ้ง

มะรุม

มะรุม (Moringa oleifera Lam.)



ชะลอความแก่
มะรุม มีสารฟลาโวนอยด์ สำคัญคือ รูทิและเควอเซทิน (Rutin & Quercetin) และยังมี สารลูทีนกับกรดแคฟฟิอลคิวนิก (Lutien & Caffeoylquinic acids) ซึ่งเป็นสารที่ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอการเสื่อมสภาพเซลล์ของร่างกาย และมีสารเบนซิลไอโซยาเนต (Benzylisothiocyanate) และเบนซิลกลูโคซิโนเลต (Benzyl glucosinolate) ที่สามารถต้านจุลินทรีย์ได้อีกด้วย

คุณค่าทางอาหารของมะรุม
        มะรุมเป็นพืชมหัศจรรย์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด
มีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า
มีวิตามินเอที่บำรุงสายตามากกว่าแครอต 3 เท่า
มีวิตามินซี มากกว่าส้ม 7 เท่า
มีแคลเซียม บำรุงกระดูกเกิน 3 เท่าของนมสด
มีโพแทสเซียม บำรุงสมองและระบบประสาท 3 เท่าของกล้วย
ให้ใยอาหารและพลังงาน ไม่สูงมาก เหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก
น้ำมันสกัดจากเมล็ดมะรุม มีองค์ประกอบคล้ายน้ำมันมะกอดดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง




มะขาม


มะขาม (Tamarind)
 ประโยชน์ของมะขาม


  • ส่วนที่ใช้เป็นยา : เนื้อในฝักแก่ (มะขามเปียก) เปลือกต้น (ทั้งสดหรือแห้ง) เนื้อในเมล็ด
  • สรรพคุณและวิธีใช้
    1. แก้อาการท้องผูก ใช้เนื้อฝักแก่หรือมะขามเปียก 10–20 ฝัก (หนักประมาณ 70–150 กรัม) จิ้มกับเกลือรับประทาน หรือใส่เกลือเติมน้ำคั้นดื่ม
    2. แก้อาการท้องเดิน ใช้เปลือกต้น ทั้งสดหรือแห้งประมาณ 1–2 กำมือ (15–30 กรัม) ต้มกับน้ำปูนใสหรือน้ำรับประทาน
    3. ถ่ายพยาธิลำไส้ ใช้เมล็ดคั่วกะเทาะเปลือกเอาออกเนื้อในเมล็ดแช่น้ำเกลือจนนุ่ม รับประทานครั้งละ 20–30 เมล็ด เหมาะสำหรับถ่ายพยาธิไส้เดือน
    4. แก้ไอขับเสมหะ ใช้เนื้อในฝักแก่หรือมะขามเปียกจิ้มเกลือรับประทาน
  • คุณค่าทางโภชนาการ : ยอดอ่อนและฝักอ่อนมีวิตามิน เอ มาก มะขามเปียกรสเปรี้ยว ทำให้ชุ่มคอ ลดความร้อนของร่างกายได้ดี เนื้อในฝักมะขามที่แก่จัด เรียกว่า "มะขามเปียก" ประกอบด้วยกรดอินทรีย์หลายตัว เช่น กรดทาร์ททาร์ริค กรดซิตริค เป็นต้น ทำให้ออกฤทธิ์ ระบายและลดความร้อนของร่างกายลงได้ แพทย์ไทยเชื่อว่า รสเปรี้ยวนี้จะกัดเสมหะให้ละลายได้ด้วย
  • มะขามเปียกอุดมด้วยกรดอินทรีย์ อาทิ กรดซิตริค (Citric Acid) กรดทาร์ทาริค(Tartaric Acid) หรือกรดมาลิค(Malic Acid) เป็นต้น มีคุณสมบัติชำระล้างความสกปรกรูขุมขน คราบไขมันบนผิวหนังได้ดีมาก
  • มะขามอุดมด้วยสาร AHA (Alpha hydroxyl acids) คือกรดผลไม้ เหมือนที่มีในแอปเปิ้ล องุ่น กระทั่งในนมก็มี สรรพคุณของ AHA คือ ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้หลุดลอกออกไปเร็วเผยผิวใหม่ที่สดใสกว่าเดิม ยิ่งในมะขามอุดมด้วยวิตามินซีมากก็จะช่วยบำรุงผิวด้วยอีกทางหนึ่ง คนไทยสมัยก่อนจึงนิยมนำน้ำมะขามเปียกคั้นแล้วมาทาใบหน้าทิ้งไว้สักพัก แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดก็จะได้ผิวหน้านุ่ม ใส ไร้สิว ปัจจุบันธุรกิจเครื่องสำอางที่กำลังเน้นไปที่การใช้สมุนไพรไทยเป็นจุดขาย จึงหันมาจับมะขามใส่หลอดแล้วจำหน่ายในรูปแบบของครีมล้างหน้า หรือครีมพอกหน้า บ้างก็ผสมไปกับขมิ้นชัน และน้ำผึงเพื่อเพิ่มสรรพคุณบำรุงผิว   แต่ก็มีข้อควรระวังสำหรับคนที่ใช้มะขามบำรุงผิวหน้าคือระวัง เข้าตา กรดในมะขามทำให้แสบตาได้แบบไม่ลืมเลย สำหรับบางคนอาจจะแพ้สารในมะขามได้บ้าง โดยจะรู้สึกผิวแสบร้อนแบบนี้ก็ไม่ควรใช้ 


    ดูสบู่มะขาม

ดินสอพอง

ดินสอพอง
พจนานุกรมศัพท์ธรณีวิทยา ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2544 ได้ให้นิยามดินสอพองว่าเป็นหินปูนเนื้อมาร์ล (marly limestone) ที่เป็นดินที่เนื้อเป็นสารประกอบแคลเซี่ยมคาร์บอเนตเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเอามะนาวบีบใส่ น้ำมะนาวมีกรดซึ่งเมื่อทำปฏิกิริยากับแคลเซี่ยมคาร์บอเนตเกิดเป็นแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เป็นฟองฟูขึ้น ดูเผินๆก็เห็นว่าดินนั้นพองตัว จึงเรียกกันว่า ดินสอพอง โบราณใช้ทำแป้งประร่างกายเพื่อให้เย็นสบาย เมื่อผสมน้ำหอมเข้าไปด้วยกลายเป็นแป้งกระแจะ


ประโยชน์ของดินสอพอง

1. ดินสอพองถือเป็นสมุนไพรรสยาเย็น ใช้แก้พิษร้อนกับร่างกาย ถอนพิษอักเสบ แก้ผด ผื่น และคัน และที่พิเศษคือเป็นยาห้ามเหงื่อนอกจากไม่ทำให้ร่างกายเหนียวเหนอะจากอากาศร้อนแล้ว ยังทำให้ร่างกายเย็นสบาย

2. การใช้ดินสอพองประหน้า สามารถป้องกันแดดด้วยมีฤทธิ์คล้ายยากันแดดชนิดกายภาพ และนักวิจัยเพิ่งพบว่าเป็นยากันแดดได้ดี

3. มีสรรพคุณช่วยขจัดสิวเสี้ยน ลดอาการปวดบวมจากการอักเสบเขียวช้ำ ช่วยปรับสภาพผิวให้ดีขึ้น เมื่อนำมาผสมกับสมุนไพรแล้วนำมาขัดผิว ขัดตัว พอกหน้า จะได้ผลดียิ่งขึ้น เหมาะกับผิวมัน เพราะหากใช้กับผิวแห้งจะทำให้ผิวยิ่งแห้งไปกว่าเดิม

4. ใช้ขัดผิว คือ ดินสอพองผสมขมิ้นและมะขามเปียก ขัดหน้าขัดผิว ช่วยให้ผิวพรรณสดใสสวยงาม หรือใช้ดินสอพองผสมขมิ้น ลิ้นทะเล และพิมเสน ใช้ลอกฝ้า เป็นต้น

5. นำดินสอพองมาผสมกับใบทองพันชั่ง ก็มีสรรพคุณชั้นเยี่ยมในการรักษากลากเกลื้อนได้เช่นกัน

6. ใช้ดินสองพอง ขมิ้นชัน ไพล เหงือกปลาหมอ ผสมรวมกันถ้าใช้เต็มสูตรนอกจากได้สีออกเหลืองๆ แล้ว เมื่อนำไปทาตัวไปจะเป็นเหมือนการขัดผิวนั่นเอง

7. ใช้ทาแก้ผิวหนังแพ้ ลมพิษ และผื่นคัน ให้ผสมดินสอพองกับใบเสลดพังพอนตัวเมีย(พญายอ) สูตรนี้เป็นแป้งน้ำไทยหรือเรียกว่าคาลาไมน์สมุนไพร (จะมีสีเขียว) ถ้าจะเปลี่ยนเป็นสีสันฉูดตาขึ้นบ้าง เหยาะน้ำยาอุทัยใส่ดินสอพอง ละลายน้ำก็จะได้แป้งน้ำสีสวยๆ อีกขนานหนึ่งหรืออยากได้สีส้มแสด ก็เอาชาดอกคำฝอยมาชงน้ำร้อน ใช้น้ำมาผสมดินสอพอง หรือต้องการสีน้ำเงินม่วงเด็ดดอกอัญชันมาขยี้ละลายน้ำ ถ้าต้องการสีแดง ไปถากเอาเปลือกต้นสะเดาใส่น้ำต้มให้เดือด หรือที่หาง่ายๆก็ใช้ดอกกระเจี๊ยบแดงต้มน้ำก็ได้สีแดง

8. ช่วยดับพิษร้อน ถอนพิษเผ็ดที่โดนพริก ใช้ดินสอพองผสมน้ำทาบริเวณที่ร้อน

9. ผสมน้ำมะกรูด หรือน้ำมะนาว ทาแก้หัวโน

คำแนะนำและข้อควรระวัง
 
เนื่องจากดินสอพองเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากดินธรรมชาติผสมกับน้ำแล้วนำมาตากแดดกลางแจ้ง ดังนั้นจึงมีโอกาสการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ ควรระมัดระวังในการใช้ อย่าใช้กับบริเวณที่มีบาดแผล รอยถลอก หรือเข้าปาก เพราะจะเป็นทางที่เชื้อจุลินทรีย์จะเข้าสู่ร่างกายได้ อาจมีผลให้เกิดการอักเสบรุนแรง โดยเฉพาะเชื้อ Pseudomonas aeruginosa อาจทำให้ตาอักเสบรุนแรงถึงตาบอดได้ สำหรับเชื้อ Escherichia coli, Salmonella spp. และ Clostridium spp ถ้าเข้าร่างกายทางปากอาจทำให้เกิดโรคอาหาร


ไพล

ไพล Zingiber cassumunar Roxb. Zingiberaceae


เหง้าไพลมีน้ำมันหอมระเหย ร้อยละ 0.8 และมีสาร ที่ให้สี ซึ่งจากการทดลองพบว่ามีฤทธิ์ลดอาการอักเสบ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีการค้นคว้าสารสำคัญที่มีสรรพคุณแก้หอบหืดและมีการวิจัยทางคลีนิค โดยใช้รักษาโรคหืดในเด็ก และไม่มีพิษเฉียบพลัน

ใช้เหง้าสดเป็นยาภายนอก โดยฝนทาแก้เคล็ดยอก ฟกบวม เส้นตึง เมื่อยขบ เหน็บชา สมานแผล จากการวิจัยพบว่า ในเหง้ามีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งมีคุณสมบัติลดอาการอักเสบ และบวม จึงมีการผลิตยาขึ้ผึ้งผสมน้ำมันไพล เพื่อใช้เป็นยาทาแก้อาการเคล็ดขัดยอก น้ำมันไพลผสมแอลกอฮอล์ สามารถทากันยุงได้ ใช้เหง้ากินเป็นยาขับลม ขับประจำเดือน มีฤทธิ์ระบายอ่อนๆ แก้บิด สมานลำไส้ นอกจากนี้พบว่าในเหง้ามีสาร 4-(4-hydroxy-1-butenyl)veratrole ซึ่งมีฤทธิ์ขยายหลอดลม ได้ทดลองใข้ผงไพลกับผู้ป่วยเด็กที่เป็นหิด สรุปว่าให้ผลดี ทั้งในรายที่มีอาการหอบหืดแบบเฉียบพลัน และเรื้อรัง



ส่วนที่ใช้เป็นยา เหง้าไพลแก่สด และแห้ง มีรสเผ็ดเล็กน้อย ปร่า มีกลิ่นหอม


ขนาดและวิธีใช้ ใช้เหง้าสดที่สะอาด 1 เหง้า ตำ เติมน้ำเล็กน้อย คั้นเอาน้ำทาถูนวดบริเวณที่เป็นบ่อย ๆ หรือ ตำไพลให้ละเอียดผสมเกลือเล็กน้อย นำมาห่อเป็นลูกประคบ 2 ลูก อังไอน้ำให้ความร้อน ใช้ประคบบริเวณปวดเมื่อยและฟกช้ำจนกว่าลูกประคบเย็น นำไปอังไอน้ำใหม่ ทำวันละ 2 ครั้ง เช้าเย็นจนกว่าจะหาย




สรรพคุณ รักษาอาการปวดเมื่อย เคล็ดขัดยอก ฟกช้ำการที่เหง้าไพลแก่สามารถบรรเทาอาการปวดเมื่อย และเคล็ดขัดยอกได้ เพราะมีน้ำมันหอมระเหยที่สามารถลดอาการอักเสบ และลดอาการปวดได้ เนื่องจาก มีฤทธิ์เป็นยาชาเฉพาะแห่ง

ทานาคา

ทนาคา
ทนาคาเป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งของชาวพม่า ผู้หญิงพม่าใช้บำรุงผิวหน้าและผิวกาย ทนาคาเป็นที่รู้จักกันดีว่ามีคุณสมบัติในการทำให้ผิวขาวขึ้นและแลดูกระจ่างใส ทนาคาช่วยลดรอยด่างดำ และปกป้องผิวจากแสงแดด ป้องกันเชื้อแบคทีเรียและควบคุมความมันอันเป็นสาเหตุของสิว

ถ้าเป็นสมุนไพรไทยที่เกี่ยวกับผิวพรรณละก็ต้องนี่เลย "ขมิ้นชัน" แต่ถ้าเป็นสมุนไพรเคล็ดลับผิวสวยของพม่าก็ต้อง "ทนาคา" หรือ "กระแจะ" ไม้ยืนต้นขนาดเล็กที่เวลานี้ถูกนำมาเป็นส่วนผสม ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหลายหลาก เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่า "ไม้ทนาคา" นั้น พม่าใช้ฝนกับหินผสมกับน้ำ ใช้ประทินผิวมาแต่โบราณ จนมีสำนวนเปรียบเทียบว่า "ผิวพม่านัยน์ตาแขก" ผิวสาวพม่าส่วนใหญ่จึงสวย เนียน และผิวค่อนข้างละเอียด เนื้อไม้ทนาคา ซึ่งเป็นสมุนไพรที่พบได้มาก จากทางฝั่งพม่า เมื่อตากแห้งสนิทและนำมาบดผงแล้วสามารถนำมาผสมทำครีมพอกหน้าได้อย่างวิเศษ สามารถผสม
*น้ำผึ้ง(สำหรับคนผิวแห้ง)
*น้ำมะขามเปียก(สำหรับผิวที่ด่างดำ)
*ขมิ้นชัน(สำหรับผิวที่มีสิว)
*นมสดรสจืด(สำหรับผิวที่ต้องการความนุ่มเนียน)
*โยเกิร์ต (สำหรับผิวที่ต้องการความนุ่มและใส)

เมื่อบดผสมจนเข้าเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว ก็จะได้ครีมสำหรับพอกหน้าที่มีเนื้อสัมผัสไม่ถึงกับละเอียดนัก ทั้งนี้ เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกเผยผิวใหม่ เนื้อครีมอุดมไปด้วยสมุนไพร ที่มีสรรพคุณช่วยประทินผิว มีกลิ่นหอมสมุนไพรธรรมชาติ (ไม่แต่งกลิ่น) และไม่มีสารที่เป็นอันตรายต่อผิว"

วิธีใช้ เพียงนำครีมผสมให้ข้น(ผสมครั้งต่อครั้ง ห้ามผสมทิ้งไว้) มาพอกทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แห้งแล้วใช้มือขัดออก ทำทุกวันก่อนอาบน้ำ แค่สัปดาห์เดียวจะรู้สึกว่าผิวหน้า ที่แห้งหยาบกร้าน กลับมาชุ่มชื้นมีน้ำมีนวล และดูเนียนขึ้น รูขุมขนกระชับขึ้น ส่วนริ้วรอยจากฝ้า หรือกระ ที่มีอยู่จะค่อยๆ จางลง


มีวิธีการบำรุงผิวอย่างง่ายและสะดวกอีกหลายวิธีค่ะ
1. ผสมกับน้ำ และทาหน้าแทนครีมรองพื้นก่อนแต่งหน้าเืืพื่อป้องกันผิวจากแสงแดด
2. ผสมกับน้ำและขมิ้นผงใช้ขัดผิวหน้าและผิวกายเพื่อให้ผิวนุ่มและขาวขึ้น
3. ผสมกับน้ำและทาผิวเพื่อลดผดผื่นคัน หรือ อาการคัน

ดูทนาคาผง
ดูขมิ้นผง


*นี่คือภูมิปัญญาจากสมุนไพรพื้นบ้าน ที่สามารถแต่งเติม ความงามได้ไม่แพ้ครีมของนอก หรืออีกนัย ถ้าคุณได้ลองอาจจะดีกว่าของนอก ถูกกับผิวชาวเอเชียอย่างเรามากกว่าด้วยซ้ำค่ะ*

ว่านนางคำ

ว่านนางคำ (Curcuma aromatica)


ว่านนางคำ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Curcuma aromatica) เป็นพืชในวงศ์ขิง มีน้ำมันหอมระเหยหลายชนิด มีสารกลุ่ม curcuminoids ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เป็นยาสมุนไพร เพื่อลดกรด ขับลม ตำรายาจีนใช้เป็นยาฆ่าเชื้อ นอกจากนั้น ยังมีผู้ใช้ว่านนางคำในรูปผงแห้งเป็นยาบำรุงผิวเพื่อเสริมความงาม และยากันยุงด้วย ขยายพันธุ์โดยการแยกหัวไปปลูก

หัวว่านมีสีเหลืองเข้ม กลิ่นหอม เป็นสมุนไพรตัวหนึ่งของต้นตำรับความงามโบราณ มีเรื่องเล่ากันว่า "พระนางคลีโอพัตรา" ใช้ว่านนางคำเป็นตัวช่วยประทินผิวให้งดงามอยู่ตลอดเวลา เพราะนอกจากจะมีสารต้านอนุมูลอิสระแล้ว ยังมีวิตามินหลายชนิด ช่วยบำรุงผิว ป้องกันเม็ดผดผื่น ช่วยทำสะอาดผิวกาย ลดรอยตกกระและจุดด่างดำ เนียนนุ่ม รักษาผดผื่นคัน และรักษาอาการคันจากการแพ้ตามร่างกายรักษาผิวพรรณให้ดูผุดผ่องสวยงามดี รักษาโรคผิวหนัง

วิธีใช้ สำหรับผิวหน้าและผิวกาย ใช้ขัดและพอกผิวโดยผสมกับน้ำ หรือถ้าจะให้ได้ผลดี ควรผสมกับนม หรือโยเกิร์ต กับน้ำผึ้ง จะช่วยทำให้ผิวนุ่มเนียน สวยยิ่งขึ้น

ดูว่านนางคำ

พิมเสน

พิมเสน (Patchoulli)



ใบ - กลิ่นหอมใช้กลั่นทำน้ำหอม ใช้เป็นสารช่วยให้น้ำหอมกลิ่นติดทนดีและนาน ใช้แก้พิษไข้ ทำยาหอม

พิมเสน นิยมใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมน้ำหอม และอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อให้กลิ่นหอม

ประโยชน์ของพิมเสน
1. กลิ่นของพิมเสนช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด
2. ช่วยป้องกันแผลจากการติดเชื้อ ทำให้แผลแห้งเร็ว
3. มีผลในการลดรอยสิว จุดด่างดำ แผลอักเสบ
4. ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และป้องกันผิวเหี่ยวย่น
5. สารสกัดจากพิมเสน ช่วยให้เซลล์เจริญเติบโตได้ดี มีการสร้างเม็ดเลือดใหม่ ทำให้ผิวดูสดใส อ่อนเยาว์ และผิวมีความยืดหยุ่น
6. ช่วยป้องกันผดผื่นคัน

ประโยชน์ของพิมเสนยังมีอีกมาก แต่คัดมาเฉพาะที่เกี่ยวกับความงามเท่านั้น ถ้าสนใจลองหาอ่านเพิ่มเติมได้ค่ะ

ดูสบู่หอมพิมเสน

กระเจี๊ยบ

กระเจี๊ยบ (Roselle)



ใบและผลอ่อนของกระเจี๊ยบมีวิตามินเอ วิตามินซี กรดซิตริก มัลลิค และธาตุแคลเซียมสูงมาก นอกจากนี้ยังช่วยต้านเชื้อรา

วิตามินซี
        - เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์ร่างกายจากความเสื่อม กำจัดอนุมูลอิสระ เช่นควันพิษ ควันบุหรี่ สารเคมีต่างๆไม่ให้เข้าประชิดเซลล์ สามารถป้องกันและรักษาการอักเสบอันเนื่องมาจากแบคทีเรียและไวรัสได้
        - เป็นตัวสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นเส้นใยทำหน้าที่เชื่อมเนื้อเยื่อต่างๆไว้ด้วยกัน
        - ช่วยให้แผลสดและแผลไฟไหม้หายเร็วขึ้น

วิตามินเอ
        - ช่วยลดการอักเสบของสิว และช่วยลบจุดด่างดำ
        - ช่วยให้ผิวพรรณมีความชุ่มชื้น ไม่แห้งแตก

กรดซิตริก
        - มี AHA (กรดผลไม้) ช่วยขจัดสิวอุดตัน และทำความสะอาดรูขุมขน
        - เพิ่มความนุ่มนลและความตึงของผิวหนัง
        - ขจัดปัญหาน้ำมันและสิวบนใบหน้า
        - ลดการเปลี่ยนสีผิวและจุดด่างดำ
        - ป้องกันอันตรายต่อผิวเนื่องจากสารชะล้าง

ดูสบู่หอมกระเจี๊ยบ

ขมิ้น


ขมิ้น (Turmeric)

เหง้าของขมิ้นมีรสฝาด กลิ่นหอม มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ แบคทีเรีย เชื้อรา ลดการอักเสบ    น้ำมันหอมระเหย ในขมิ้นชัน มีสรรพคุณบรรเทาอาการปวดท้อง ท้องอืด แน่น จุกเสียด แก้โรคผิวหนัง แก้ผื่นคันคัน     ในด้านเครื่องสำอางค์ ขมิ้นมักใช้ในสูตรครีมกันแดด ในอินเดีย ใช้ทาหน้าเจ้าบ่าวและเจ้าสาวเพราะเชื่อว่าจะช่วยให้ร่างกายปลอดภัยจากเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตราย นอกจากนี้ยังทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง และลดการขึ้นของขนตามร่างกาย



ในขมิ้น มีสาร เคอร์คิวมินนอยด์ (curcuminoids) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะชนิด hydroxyl radical ซึ่งสามารถสลายอนุมูลอิสระ และป้องกันอันตรายที่เกิดจากอนุมูลอิสระด้วย

ขมิ้นรู้จ้กกันดีว่าเป็นสมุนไพรที่ชลออายุผิว ช่วยต่อต้านผิวแห้งโดยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดทำให้ผิวมีสุขภาพดีและลดการเพิ่มรอยเหี่ยวย่น

ดื่มชาขมิ้นพร้อมกับชาเขียวป้องกันมะเร็งที่ 2 กลไก ทำให้ได้ผลดีกว่า

ชาขมิ้น ชั่ง 30 กรัม ใส่น้ำ 1 ลิตร ต้มนาน 15 นาที ดื่มครั้งละ 1 ถ้วยกาแฟ ก่อนอาหารเช้า-เย็น ป้องกันการแก่ก่อนวัย

หากใช้ขมิ้นทาผิวจะช่วยสมานแผล บำรุงผิว แก้อาการแพ้
 
สูตรครีมขมิ้น

1. ผสมผงขมิ้น 1/4 ถ้วย กับน้ำสะอาด 1/2 ถ้วย เคี่ยวด้วยไฟร้อนปานกลาง คนให้เข้ากัน
2. นำส่วนผสมใส่ในชาม คนจนส่วนผสมจับตัวกันเป็นครีมเหนียว
3. ปล่อยให้ครีมเย็นตัว ใส่ภาชนะที่สะอาดปิดแน่น เ็ก็บในตู้เย็น